กระบวนการแบบเป็นขั้นตอน
บทความส่วนใหญ่ในหนังสือคู่มือฯ
เล่มนี้เขียนขึ้นมาในแบบที่เหมาะกับการนำไปใช้ในการจัดอภิปรายกลุ่ม
มีหลากหลายวิธีที่จะใช้ในการประชุมหรืออภิปรายกลุ่ม
สิ่งสำคัญเป็นเรื่องของการรู้จักใช้วิธีการที่จะต้องนำมาทดลองทำดู
ถึงกระนั้นก็จำต้องปรับเปลี่ยนวิธีการให้เหมาะกับสถานการณ์เฉพาะต่าง ๆ ด้วย
วิธีจัดกลุ่ม :
1. หากผู้เข้าร่วมยังไม่รู้จักคุ้นเคยกัน
น่าจะเป็นประโยชน์กว่าถ้าผู้จัดอบรมจะจัดพวกเขาเป็นกลุ่ม ๆ
2. วิธีง่ายวิธีหนึ่ง
คือให้ผู้เข้าร่วมประชุมจับฉลากหมายเลข ตัวอย่างเช่น ถ้ามีผู้เข้าร่วม 50 คน และอยากให้มี
6 กลุ่ม ๆ ละ 8-9 คน ก็จัดฉลากหมายเลข 1-6 ให้พวกเขาจับเรียงกันไป
3. แน่นอน
ยังมีวิธีสร้างความสนุกสนานในการจัดกลุ่มด้วย อาทิเช่น เขียนชื่อสัตว์ชนิดต่าง ๆ
ไว้ในแผ่นกระดาษ แล้วให้แต่ละคนที่จับได้ชื่อสัตว์นั้น แสดงท่าทางของสัตว์นั้น ๆ
ให้ผู้อื่นรู้ว่าเป็นสัตว์ชนิดใด แล้วไปอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
วิธีสร้างความสนุกสนานเช่นนี้
จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศผ่อนคลายเป็นประโยชน์ต่อการอบรมหรือการอภิปรายที่จะตามมาด้วย
4. ควรจัดให้แต่ละกลุ่มมีสมาชิกระหว่าง 6-10 คน หากมีผู้เข้าร่วมไม่มาก หรือมีเวลาอบรมหรืออภิปรายน้อย
ก็อาจจัดให้มีกลุ่มละ 3-4 คน
5. เพื่อไม่ให้เสียเวลามากนัก
ควรกำหนดสถานที่ประชุมกลุ่มย่อยของแต่ละกลุ่มไปเลย อาทิเช่น กลุ่ม ก
อยู่ตรงหน้าบอร์ด กลุ่ม ข
อยู่ที่ระเบียงข้างนอก กลุ่ม ค
อยู่บริเวณห้องครัว เป็นต้น
คำแนะนำ :
ก่อนที่ผู้เข้าร่วมจะแยกย้ายกันไปประชุมกลุ่ม
จำเป็นต้องได้รับการชี้แจงให้ชัดเจนสั้น ๆ ให้ทุกคนทราบถึงสิ่งสำคัญบางประการ
และแม้จะชี้แจงแล้ว
ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากจะเขียนคำแนะนำเหล่านั้นไว้ในกระดาษ หรือบนกระดานดำ
เพื่อช่วยให้แต่ละกลุ่มปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว
คำแนะนำเหล่านั้นเป็นเรื่องต่อไปนี้ :
1.
เริ่มต้นด้วยการให้สมาชิกแต่ละคนแนะนำตัวเองสั้น
ๆ
2.
แต่ละกลุ่มเลือกสมาชิกคนหนึ่งเป็นผู้นำการประชุม
และอีกคนหนึ่งเป็นเลขานุการของกลุ่ม
3.
ผู้นำการประชุมเชิญให้สมาชิกคนหนึ่งสวดเปิดประชุม
4.
ผู้นำการประชุมกำหนดกฎเกณฑ์สำหรับขั้นตอนการประชุม
5.
ผู้นำการประชุมอ่านคำถามหรือหัวข้อที่จะต้องนำมาอภิปรายกันในการประชุมครั้งนั้น
กฎระเบียบที่ควรมีในการประชุมกลุ่ม :
1. สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมเต็มที่ในการประชุม
2. ทุกคนย่อมได้รับโอกาสให้พูดเท่าเทียมกัน
3. ต้องไม่มีใครคนหนึ่งพูดอยู่คนเดียว
4. ผู้นำการประชุมจะเป็นผู้ให้สัญญาณเตือน...
เพื่อบ่งบอกว่าผู้ที่กำลังพูดนั้นมีเวลาเหลืออีก 30 วินาที
5. ไม่แย่งกันพูด พูดกันทีละคน เวลาคนหนึ่งพูด
คนอื่นก็ควรตั้งใจฟังด้วย
ผู้นำการประชุม :
1. บทบาทของผู้นำการประชุม คือ
พยายามให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมเต็มที่
และทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจที่จะพูดออกมา
2. ผู้นำการประชุมต้องไม่พูดมาก
หรือพูดอยู่คนเดียว เขามีหน้าที่คอยกระตุ้นและสนับสนุนให้คนอื่น ๆ
ในกลุ่มพูดมากกว่า
3. ผู้นำการประชุมควรรู้จักใช้ปฏิภาณไหวพริบในการขัดจังหวะผู้ที่พูดมาก
เพื่อควบคุมการอภิปราย อาทิเช่น ผู้นำการประชุมควรแทรกเข้ามาตอนที่ผู้นั้นหยุดเว้น
ก่อนที่จะพูดต่อแล้วบอกทำนองว่า “ที่คุณกำลังพูดอยู่นั้นเป็นจุดที่น่าสนใจมาก
ข้าพเจ้าขอเสนอว่า
เราน่าจะนำเรื่องนี้มาพูดกันอีกครั้งหลังจากที่ทุกคนได้มีโอกาสพูดกันแล้วจะดีกว่า”
หรือไม่ก็อาจพูดทำนองว่า “คุณครับ เราชอบที่คุณพูดนั้นนะครับ
แต่ขอให้หนุ่มน้อยข้าง ๆ แสดงความคิดเห็นของวัยรุ่นดูว่าเขาคิดอย่างไรดีไหมครับ”
4. ผู้นำการประชุมควรเอาใจใส่ดูด้วยว่าอาจมีคนใดคนหนึ่งในกลุ่มยังรู้สึกประหม่าไม่กล้าพูด
ผู้นำฯ
ควรดูแลอย่าให้คนอื่นในกลุ่มเพ่งความสนใจไปที่ตัวเขาให้มากนักและอย่าเรียกร้องให้เขาต้องพูดแบ่งปันออกมาในเมื่อเขายังไม่พร้อม
ผู้นำฯ อาจช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายลงด้วยการถามคำถามง่าย ๆ
เพื่อเขาจะกล้าพูดออกมาโดยไม่ลำบากนัก อาทิเช่น อาจถามเขาว่า “จากที่คุณเล่านั้น
คุณช่วยบอกพวกเราได้ไหมว่าคุณรู้สึกอย่างไรตอนที่คุณจากหมู่บ้านเข้าไปอยู่ในเมือง”
ดังนี้ เป็นต้น
5. หากผู้นำการประชุมมีความรู้สึกว่าการอภิปรายกันในเรื่องนั้นกำลังจะควบคุมไม่อยู่
เขาก็ควรเสนอแนะให้เปลี่ยนเรื่อง
หรือไม่ก็ขอร้องให้ใครคนใดคนหนึ่งช่วยสรุปเรื่องที่กำลังพูดคุยกันนั้น
คำถาม/ภารกิจที่ต้องปฏิบัติ :
มีคำถามหรือภารกิจหลากหลายที่ผู้นำการประชุมพอจะกำหนดให้สมาชิกในกลุ่มทำได้
อาทิเช่น เรื่องต่อไปนี้
1. ให้สมาชิกผลัดเวรกันอ่านบทความดัง ๆ
ให้คนอื่นฟัง
2. แล้วให้มีเวลาเงียบสัก 2-3 นาที
โดยแนะนำให้สมาชิกอ่านบทความนั้นเงียบ ๆ
พร้อมทั้งโน้ตข้อคิดที่ได้จากบทความนั้นไว้
3. เชิญสมาชิกกล่าวข้อความหรือถ้อยคำกินใจสำหรับแต่ละคนออกมา
4. เมื่อทุกคนผลัดกันทำเช่นนั้นแล้ว
ก็ให้สมาชิกแต่ละคนอธิบายว่าทำไมจึงรู้สึกสะกิดใจจากข้อความนั้น ๆ
พร้อมทั้งชี้แจงเพิ่มเติมด้วยตัววอย่างจากประสบการณ์ของตน
5. เชิญสมาชิกให้บ่งบอกประโยคหรือวลีที่เขาไม่เข้าใจ
หรือที่เขาเห็นว่ากำกวม หรือที่เขาไม่เห็นด้วย
แล้วเปิดโอกาสให้นำสิ่งเหล่านี้มาอภิปรายกัน
การแบ่งปัน :
1. ในการแบ่งปันกัน
สมาชิกแต่ละคนกล่าวออกมาด้วยใจจริงจากประสบการณ์ส่วนตัวของตน
โดยมักจะพูดทำนองนี้ว่า “ผมรู้สึกจริง ๆ ในเรื่องนี้ว่า...
“ดิฉันชอบวิธีที่...
“มีความหมายเป็นอย่างยิ่งสำหรับข้าพเจ้า...”
2. ในการแบ่งปันกันไม่มีอะไรที่เรียกว่า “ถูก”
หรือ “ผิด” ความเข้าใจและความคิดเห็นของสมาชิกแต่ละคนไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด
จึงต้องไม่มีการตัดสินใด ๆ ในเรื่องถูกหรือผิดในการแสดงความคิดเห็น
3. ทุกคนย่อมมีสิ่งที่ตนจะแบ่งปันเช่นกัน
แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เด่นชัดเพียงเล็กน้อยก็ตาม แม้แต่คำพูดที่ว่า
“ดิฉันไม่ทราบว่าจะพูดอะไรดี” หรือที่ว่า
“ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะพูดบางอย่างต่อหน้าท่านผู้มีการศึกษาทั้งหลาย”
เหล่านี้ก็ถือว่าเป็นการแบ่งปันที่ควรได้รับการตอบรับด้วยเช่นกัน
4. การแบ่งปันความคิดเห็นแตกต่างจากการอภิปราย
การแบ่งปันมุ่งเป็นการเปิดใจกว้างต่อกัน
ไม่จำเป็นต้องมีการถกเถียงหรือวิจารณ์ในสิ่งที่แต่ละคนพูดแบ่งปันออกมา
การแบ่งปันเป็นเสมือนการเปิดกว้างที่ไม่จำเป็นต้องมีการลงมติตัดสินใจใด ๆ
หรือมีการแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต่อสิ่งที่ผู้แบ่งปันกล่าวออกมานั้นเลย
5. กระบวนการแบ่งปันเป็นเสมือนการเชื้อเชิญให้แต่ละคนกล่าวออกมาถึงสิ่งที่ใจตนคิดอยู่ในตอนนั้น
การแบ่งปันช่วยให้ผู้ที่รู้สึกไม่มั่นใจกับความคิดเห็นของตนเกิดมีความมั่นใจมากขึ้น
ฉะนั้นการแบ่งปันจึงเป็นเพียงขั้นตอนก้าวแรกเท่านั้น
การอภิปราย :
การอภิปรายมุ่งเน้นให้สมาชิกเข้ามามีส่วนร่วมกันมากกว่าการแบ่งปันกัน
การเข้ามามีส่วนร่วมกันเช่นนี้ แสดงออกในหลากหลายรูปแบบแตกต่างกัน
ซึ่งก็มักจะเป็นไปในทำนองนี้
1. เห็นด้วย
“ผมเห็นด้วยเต็มที่กับสิ่งที่คุณเพิ่งกล่าวมานั้น
ที่จริงแล้ว ผมอยากจะบอกว่าจากประสบการณ์ ผมเองก็...”
2. ระดมสมอง
“นั่นเป็นจุดที่น่าสนใจยิ่ง
บางทีเราน่าจะฟังจากทุกคนในกลุ่มว่า แต่ละคนมีความคิดเช่นไรต่อเรื่องที่ว่านี้...”
3. ผนวกความคิดเห็น
“ดิฉันคิดว่าคุณสาลี่พูดถูกต้องทีเดียวว่า...
แต่ดิฉันก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นของคุณไมตรี บางทีเราน่าจะเอาความคิดเห็นทั้งสองมาพิจารณาร่วมกันแบบสองด้านของเหรียญจะดีไหมคะ...”
4. โต้แย้ง
“ผมไม่คิดว่าผมเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณเพิ่งกล่าวมานั้น
บางทีถ้าคุณพิจารณาถึงหัวข้อเรื่อง... คุณก็อาจจะเปลี่ยนใจมายอมรับว่า...”
5. ชี้แจงเพิ่มเติม
“ดิฉันชื่นชอบสิ่งที่คุณกล่าว แต่ก็คิดว่าเพื่อจะให้คนอื่น
ๆ เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น คุณน่าจะชี้แจงเพิ่มเติมว่า...”
การนำเสนอรายงานการประชุมกลุ่ม :
หลังจากการประชุมหรือการอภิปรายกลุ่มย่อยแล้วควรมีเวลาให้แต่ละกลุ่มนำผลการประชุมที่ได้มารายงานให้ที่ประชุมใหญ่ทราบ
มีหลากหลายวิธีที่สามารถนำมาใช้ในการนำเสนอรายงาน อาทิเช่น
1. ให้เลขานุการแต่ละกลุ่มรายงานสั้น ๆ
ถึงผลการประชุมในกลุ่มของตน โดยอาจใช้แผ่นใสกับเครื่องฉายภาพนิ่ง
หรือไม่ก็ใช้กระดาษแผ่นใหญ่ ๆ เขียนเฉพาะหัวข้อสำคัญ ๆ ที่ได้จากการประชุมกลุ่ม
2. ถ้าทุกกลุ่มอภิปรายในหัวข้อหรือเรื่องเดียวกัน
ก็จะน่าเบื่อมากถ้าจะให้ทุกกลุ่มออกมารายงาน น่าจะให้เลขาฯ ของ 3-4 กลุ่มมาพบกัน
เพื่อพิจารณาสิ่งที่จดไว้
แล้วจัดทำเป็นรายงานสรุปขึ้นมาเพียงฉบับเดียวสำหรับรายงานในที่ประชุมใหญ่
3. ให้ทุกกลุ่มเตรียมพร้อมที่จะนำเสนอรายงานให้ที่ประชุมใหญ่ทราบ
โดยใช้วิธีจับฉลากดูว่ากลุ่มใดบ้างจะต้องนำเสนอรายงานก่อน-หลัง แต่ถ้าหากมีถึง 20 กลุ่ม
และมีเวลานำเสนอได้ราว 6 กลุ่มเท่านั้น
ก็ให้ใช้วิธีจับฉลากดูว่ากลุ่มใดจะเป็นผู้นำเสนอรายงานก่อน-หลัง
ส่วนกลุ่มอื่นที่เหลือก็ต้องจัดทำรายงานกลุ่มด้วย
เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้สำหรับตนเอง
4. จำเป็นต้องจัดให้มีเวลาเพียงพอที่กลุ่มต่าง
ๆ จะจัดเตรียมนำเสนอรายงาน
โดยจัดให้มีเวลาพักพอสมควรหลังจบการอภิปรายก่อนจะมีการนำเสนอรายงาน ยกตัวอย่างเช่น
หากมีการอภิปรายระหว่าง 10:00-12:00 น.
ก็ให้มีช่วงพักยาวตอนอาหารเที่ยง แล้วไปเริ่มขึ้นตอนนำเสนอรายงานเวลา 15:00 น. เป็นต้น
5. สนับสนุนให้มีการใช้การสร้างสรรค์หลากหลายวิธีในการนำเสนอรายงาน
อาทิ ใช้วิธีสวมบทบาทแสดงสมมุติ วิธีแสดงละครสั้น หรือละครใบ้ วิธีเล่านิทาน
วิธีวาดเป็นภาพการ์ตูน วิธีใช้เศษวัสดุปะติดกันเป็นภาพหรือเรื่องราว
วิธีใช้แผนภูมิ วิธีใช้แผ่นโปสเตอร์ ฯลฯ เป็นต้น หากเป็นการนำเสนอรายงานแบบหลากหลายวิธีเช่นนี้
ก็จำเป็นต้องจัดเวลาให้เพียงพอสำหรับกลุ่มต่าง ๆ ที่จะเตรียมการ
และมีเวลาพอที่แต่ละกลุ่มจะนำเสนอรายงานตามวิธีการของตนนั้นด้วย
ขอบคุณที่มา
หนังสือ “เสวนา คู่มือทรัพยากรการเสวนาระหว่างศาสนาสำหรับชาวคาทอลิกในทวีปเอเชีย” หน้า (10)-(14)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น